
ประโยชน์จากเขียน เมื่อชีวิตจมดิ่งลงถึงจุดต่ำสุด ชีวิตคู่ที่ล้มเหลวด้วยการถูกภรรยานอกใจ เงินทองที่เคยมีถูกหลอกเอาไป ทรัพย์สินถูกเผาผลาญจนแทบไม่เหลือจากผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าภรรยา ตกงานบ้านขาดส่งธนาคารจนรอเวลาที่จะถูกยึด หนี้สินหลักหลายล้านที่รอเวลาถูกฟ้อง ผมจึงมีอาการของโลกซึมเศร้า
จนต้องเข้ารับการรักษาเป็นประจำที่โรงพยาบาล ผมเคยถามตัวเองว่าเราปล่อยให้ชีวิตมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เราจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรโดยที่ไม่ต้องปวดร้าวจนเกินจะทนได้ ผมจึงตัดสินใจใช้การเขียนเป็นยารักษาแผลในใจ ผมอยากจะเขียนทุกเรื่องที่อยู่ในใจ ผมเขียนได้ทุกเรื่องทั้งเรื่องของผมเองและเรื่องของโลกในมุมมองของผม
การเขียนช่วยให้ผมผ่อนคลายและช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดที่อยู่ในจิตใจ การเขียนจึงเป็นเสมือนยารักษาใจของผมซึ่งคงจะเป็นยาที่ผมจะต้องใช้ไปตลอดชีวิต ก่อนหน้านี้ผมก็เคยขีดเขียนเรื่องราวต่างๆเอาไว้เป็นบทความเอาไว้เหมือนกัน บทความบางบทความก็เขียนเสร็จแล้ว บางบทความผมก็เขียนค้างคาไว้แต่ก็คงต้องมาเขียนต่อให้จบ
มาถึงตอนนี้ผมตั้งใจแล้วว่าจะยึดการเขียนเป็นอาชีพหนึ่งสำหรับหาเลี้ยงชีวิต ตอนที่เริ่มต้นที่จะเขียนผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะขียนอะไรดี นวนิยาย บทความหรือบทกวี จะว่าไปแล้วผมก็เป็นแต่เพียงนักเขียนสมัครเล่นที่ยังไม่มีใครรู้จัก แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ติดตัวของผมมาตลอดคือความรักในการอ่าน ผมอ่านหนังสือเกือบทุกประเภท
ทั้งนวนิยายไทย วรรณกรรมต่างประเทศ บทความ แม้แต่บทกวีที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ยากที่จะผมเขียนขึ้นมาได้ แต่ผมก็รู้สึกซาบซึ้งทุกครั้งเวลาได้อ่านบทกวีดีๆ ผมจะเริ่มต้นอย่างไรดี สิ่งแรกที่ผมคิดคือต้องเริ่มเขียนอะไรที่ตัวเราเองถนัดที่สุดก่อนและสิ่งที่ผมถนัดที่สุดนั่นก็คือการเขียนบทความ ผมชอบเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของตนเอง
เทคโนโลยีและวิชาการ หนังสือ ภาพยนตร์ กีฬา การเมือง การท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ และเรื่องอื่นๆ อีกมาก แต่การเขียนของผมน่าจะเป็นการเขียนแบบฟรีสไตล์หรือไร้รูปแบบ คือคิดประเด็นอะไรขึ้นได้ก็เอามาตั้งหัวข้อเรื่องและเขียนบรรยายตามแต่จะคิดทบทวนออกมาได้ บางครั้งเขียนไปเรื่อยๆ ก็หันเหออกนอกประเด็นออกไปไกล
จนต้องพยายามดึงกลับมาให้เข้าเรื่อง จนต้องเตือนตัวเองให้เล่าเรื่องต่างๆ ให้อยู่ในประเด็นและนำไปสู่จุดสรุปที่พยายามให้ลงตัวที่สุดและตอบโจทย์ที่ตัวเองตั้งเอาไว้ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะจำได้ทุกเรื่องราวที่จะเอามาเล่าในบทความ บางครั้งจึงมีความจำเป็นที่จะต้องไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมทั้งจากหนังสือ จากห้องสมุดแม้กระทั่ง
ข้อมูลที่อยู่ในอินเตอร์เน็ต ผมว่าการเป็นนักเขียนสมัยนี้ง่ายกว่าสมัยก่อนเยอะเพราะเรามีแหล่งข้อมูลที่สามารถค้นหาอยู่รอบตัว แต่ถึงแม้ว่าจะต้องเดินทางไปสถานที่ต่างเพื่อหาความรู้จากสถานที่จริง ระบบการขนส่งมวลชนสมัยนี้ก็มีครอบคลุมอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปให้ถึงแหล่งข้อมูลโดยเฉพาะที่อยู่ในกรุงเทพฯ
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเป็นนักเขียนคือคุณต้องเป็นนักอ่านด้วยและต้องอ่านให้มากและลึกซึ้งกว่าคนทั่วไป ผมเองก็เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่สมัยเด็กเด็ก ส่วนมากก็จะเป็นหนังสือนิตยสาร การ์ตูน สมัยเป็นเด็กผมจะไปนั่งรอที่หน้าบ้านเวลาคุณปู่ไปตลาด คุณปู่ชอบซื้อหนังสือนิตยสารเด็กก้าวหน้าและวีรธรรมมาฝากผมทุกสัปดาห์
คนที่อายุห้าสิบขึ้นไปน่าจะเคยเป็นแฟนหนังสือทั้งสองฉบับนี้หลายคน นอกจากนี้เมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่นผมก็จะเริ่มติดนิตยสารฟ้าเมืองไทยและนิตยสารสกุลไทยที่คุณแม่ของผมรับเป็นสมาชิกรายสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีหนังสือพิมพ์อีก สมัยก่อนคุณพ่อผมก็จะรับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและพิมพ์ไทยเป็นประจำ หลังจากนั้นผมก็เริ่มซื้อหนังสือของผมเอง
นอกจากนี้สมัยเด็กๆ ผมเองยังชอบเรียนวิชาเรียงความและวิชาอ่านเอาเรื่องซึ่งไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้ยังมีวิชานี้อยู่หรือไม่ ทั้งสองวิชานี้เป็นวิชาที่ปลูกฝังเกี่ยวกับการเขียนและการอ่าน ผมจำได้ว่าตอนผมเรียนวิชาเรียงความไปส่งคุณครูผมเคยได้รับคำชมบ่อยเหมือนกัน ความไฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียนไม่เคยลืมเลือนไปจากความตั้งใจของผมเลย
แต่ด้วยภาระทางหน้าที่การงานทำให้ผมยังขาดความตั้งใจที่จะให้ความสนใจเริ่มงานเขียนขนาดที่จะให้มันได้รับการเผยแพร่ออกไป แม้ผมจะทะยอยเริ่มเขียนอะไรต่างๆ เก็บเอาไว้อ่านเอง อ่านไปบางทีก็เอามาแก้ไขขัดเกลาและเก็บเอาไว้อ่านเองต่อไป บทความบางเรื่องผมก็เขียนค้างคาไว้มีเวลาว่างก็เอามาเขียนต่อทีละนิดทีละหน่อย
ตามอารมณ์ความรู้สึก บางเรื่องเขียนจบไปแล้วแต่พอมาอ่านใหม่ก็ไม่เป็นที่พอใจเอามาแก้ไขก็มี จุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิตผมก็เป็นเรื่องของความล้มเหลวในชีวิตอย่างที่ผมเกริ่นมาในตอนต้นและต่อมาผมกลายเป็นคนล้มละลายจากคำพิพากษาของศาล กลายเป็นโรคซึมเศร้าจนต้องกินยามาตลอดหลายปี ผมต้องมาเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่
ในวัยใก้ลหกสิบ และพยายามหางานทำเพื่อจะให้มีรายได้มาเลี้ยงชีวิต ผมจึงมานั่งทบทวนว่าความจริง แนวทางในการพัฒนาทักษะการเขียน ผมก็มีใจรักการเขียนอยู่แล้วและตอนนี้ผมสามารถทุ่มเทเวลาไปให้กับการทำในสิ่งที่ผมรักและมีรายได้จากมันได้ ดังนั้นเกือบทั้งวันผมจึงใช้เวลากับการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของผมแล้วก็เขียนเล่าเรื่องราวต่างๆไปเรื่อยๆ
ทั้งเรื่องราวที่ผมจำได้จากประสบการณ์ชีวิตของผมเอง หรือเรื่องราวที่ผมมีใจรักและสนใจโดยจะต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาเขียน ตอนนี้ผมเลยกลายเป็นคนเสพติดการเขียนถ้ามีความคิดอะไรขึ้นมาที่น่าจะนำไปเขียนได้ ผมก็จะเอาความคิดนั้นมาเป็นประเด็นที่จะต้องเขียนเป็นเรื่องราวต่างๆ ไว้ก่อน แล้วผมคิดว่าสิ่งที่ผมได้จากการเขียน
คือการทำให้เราเป็นนักค้นคว้าหาข้อมูลคือทำให้เรามีความรู้กว้างขวางมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเขียนคือยาที่ดีที่สุดในการรักษาอาการโรคซึมเศร้า คือหลังจากที่ผมเอาเวลามาทุ่มเทให้กับการเขียนแล้ว ผมมีอาการดีขึ้นจิตใจปลอดโปร่งสบายมากขึ้น มีความเครียดและความเศร้าน้อยลง ถึงแม้ว่าผมยังคงต้องกินยาอยู่ก็ตาม ดังนั้น ผมจึงอยากจะบอกว่าการเขียนนี่เองเป็นยารักษาจิตใจที่ดีที่สุดสำหรับผมและผมก็มีความตั้งใจที่จะเขียนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเรี่ยวแรงหรือถึงวันที่ผมหมดลมหายใจ